คิดแบบมอๆ ตามประสาคนรักสัตว์ @ เทมเพิ่ล แกรนดิน (Think like a cow with Temple Grandin)
การเลี้ยงสัตว์แต่ละชนิดแต่ละสายพันธุ์นั้น ต่างก็มีแนวทางการเลี้ยงที่หลากหลายแตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของแต่ละบุคคลครับ
ในบางครั้งสัตว์ชนิดเดียวกันและสายพันธุ์เดียวกันก็ยังมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงน่ารักเพื่อเอาไว้ดูเล่นยามว่าง สัตว์เลี้ยงสวยงามเพื่อส่งประกวด หรือสัตว์เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารสำหรับมนุษย์ เหล่านี้ล้วนแต่มีประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ที่ผู้เลี้ยงต้องการแทบทั้งสิ้น
แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผู้เลี้ยงทุกคนไม่ควรมองข้ามและควรระลึกถึงอยู่เสมอก็คือ...
การมอบความรัก การสำนึกในบุญคุณ การให้ความเคารพ และการให้เกียรติ แก่สัตว์เหล่านั้น
บางท่านอาจจะคิดว่าผมบ้าหรือเปล่า? สัตว์มันจะไปรู้เรื่องอะไรด้วย ยิ่งเป็นสัตว์ที่เลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารยิ่งแล้วใหญ่เลย วันๆก็เห็นแต่ก้มหน้าก้มตากินแล้วก็นอน ไม่เห็นจะสนใจใยดีอะไรเลย
แต่อย่าลืมนะครับว่าพวกสัตว์เหล่านั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกับพวกเรา มีความรู้สึกหิว กระหาย เหนื่อย เจ็บปวด หวาดกลัว และตื่นตกใจ ฯลฯ เหมือนมนุษย์เรา
ถ้าพูดได้มันคงถามว่า “ทำไมต้องกินฉัน?” หากเป็นแบบนั้นจริงๆ มนุษย์อย่างเราๆคงได้แต่หันมามองหน้าแล้วทำตาปริบๆ
ตราบใดที่มนุษย์ยังต้องพึ่งพาโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะไม่เบียดเบียนชีวิตเพื่อนร่วมโลกของเรา ดังนั้นหนึ่งในหนทางที่มนุษย์อย่างเราพอจะทำได้ก็คือ การดูแลพวกสัตว์เหล่านั้นให้ดีที่สุด ตลอดกระบวนการผลิตตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนกระทั่งถึงการแปรรูปเป็นอาหาร
คงมีคำถามในใจกันว่า “แล้วจะต้องดูแลอย่างไรบ้าง?”
หัวใจสำคัญก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ศึกษาและเรียนรู้พฤติกรรมการดำรงชีวิตของสัตว์ที่เราเลี้ยง สังเกตดูว่าเขามีนิสัยอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร การกระทำใดหรือสิ่งใดที่ทำให้เขากลัวหรือเครียด
ทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนสำคัญช่วยให้เราสามารถจัดการฟาร์มได้ง่ายขึ้น สัตว์ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ผู้ปฏิบัติงานทำงานได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้ดีขึ้น และลดการสูญเสียมูลค่าทางการตลาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับขั้นตอนการจัดการที่จะต้องไล่สัตว์จำนวนมากเข้าซองบังคับ โดยไม่เว้นแม้แต่วาระสุดท้ายของชีวิตที่จะต้องถูกฆ่า ก็ควรทำให้สัตว์ไม่รู้สึกหวาดกลัว ไม่ให้รู้ตัวว่าจะถูกนำไปฆ่า ควรทำให้รู้สึกผ่อนคลายที่สุด และไม่เสียชีวิตอย่างทนทุกข์ทรมาน หรือที่เรียกว่า “การุณยฆาต” หรือ “ปรานีฆาต” (Euthanasia)
ถ้อยคำที่ผมเกริ่นนำมาทั้งหมดนี้คือหนึ่งในหลายเจตนาที่ผมอยากเป็นอีกหนึ่งแรงขับช่วยผลักดันให้ทุกคนให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งผมได้แรงบันดาลใจมาจากสตรีชาวอเมริกันท่านหนึ่ง ตลอดชีวิตของเธอได้อุทิศตนให้แก่สัตว์เหล่านี้มาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ภายในฟาร์มปศุสัตว์อย่างวัวและม้า
เธอต้องทนต่อคำดูถูกเหยียดหยามและเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากเหล่าคาวบอยและผู้ประกอบการปศุสัตว์ เพราะว่าพวกเขามองว่าสัตว์เหล่านั้นเป็นเพียงก้อนเนื้อเดินได้ ไม่ได้มีความรู้สึกนึกคิดอะไร
ด้วยความเชื่อที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้นี้ จึงเป็นแรงผลักดันให้เธอไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ แต่ในทางกลับกันมันทำให้เธอมีความพยายามมากขึ้น จนในที่สุดเธอก็ได้พิสูจน์ให้คนทั้งวงการปศุสัตว์ยอมรับและเห็นว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นมันไม่เพ้อเจ้อแถมยังเป็นไปได้ เรื่องราวชีวิตของเธอจะน่าสนใจมากน้อยเพียงใด เราลองมาติดตามกันดูครับ
หนังยาวๆ อีกแล้วพี่หนุ่ม ตีตั๋วคอยฉายครับ
________________
ขยันทำ ไม่ขยันพูดพล่าม สักวันเราจะมีกิน
ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นนำอีกครั้งนะครับว่า เรื่องราวชีวิตของเธอนั้นไม่ธรรมดาเลย จนมีผู้กำกับหนังนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Temple Grandin
โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงผู้ป่วยออทิสติกที่มีความอัจฉริยะซ่อนอยู่ภายในตัว สวมบทโดยนักแสดงมืออาชีพอย่าง แคลร์ เดนส์ และแม่ของเธอ สวมบทโดย จูเลีย ออร์มอน ในบทบาทของแม่ซึ่งสู้ไม่ยอมถอย ยังคงเชื่อว่าการดูแลลูกตัวเองอย่างใกล้ชิดเป็นเรื่องสำคัญ เธอจึงจัดการดูแลกับลูกออทิสติกด้วยตัวเอง
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังสามารถกวาดรางวัลเอมมี่ อวอร์ด ประจำปี 2010 (Emmy awards 2010) ไปได้มากถึง 7 รางวัล และได้ถูกนำมาฉายอีกครั้งในช่อง HBO ผ่านทาง ทรู วิชั่นส์ ครับ
ปล.ในที่นี้ผมจะนำรูปภาพจากภาพยนตร์(ตอนวัยสาว)กับรูปภาพจริง(ตอนวัยเด็ก+วัยทอง)ของเธอมาประกอบการเล่าเรื่องร่วมกันนะครับ
เทมเพิ่ล แกรนดิน(Temple Grandin) เกิดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ.1947 เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซ็ตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา บิดาคือ ริชาร์ด แกรนดิน และ มารดาคือ อุสตาเซีย คัตเลอร์
ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลกเธอก็ไม่ยอมพูดเลยแม้แต่ครั้งเดียว เมื่อเธอมีอายุได้ 2 ขวบ แพทย์ก็ได้วินิจฉัยว่าสมองของเธอได้รับความเสียหาย ในเวลาต่อมาแพทย์จึงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและได้วินิจฉัยว่าเธอเป็นผู้ป่วยออทิสติกด้วยวัยเพียง 3 ขวบ
หลังจากนั้นเธอจึงถูกส่งตัวให้ไปอยู่ในความดูแลของโรงเรียนเตรียมอนุบาลซึ่งได้รับการพิจารณาแล้วว่าเธอจะได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูที่ดี
แม่ของเธอได้เข้ารับการปรึกษาจากแพทย์เพื่อขอคำแนะนำวิธีการฝึกพูดให้กับเธอ นอกจากนั้นยังได้ว่าจ้างพี่เลี้ยงเข้ามาช่วยดูแลเพื่อใช้เวลาเล่นเกมส์ฝึกทักษะการเรียนรู้ให้กับเธอ พร้อมกับคอยช่วยดูแลเทมเพิ่ลและน้องสาวด้วยครับ
ด้วยความรักจากแม่ที่มีต่อลูกอย่างล้นเปี่ยมและคอยอยู่เคียงข้างเสมอ แม่ของเธอคอยให้ความรักความปลอดภัยและมานะพยายามฝึกการพูดให้กับเธออย่างไม่ย่อท้อ
พออายุได้ 4 ขวบ เทมเพิ่ลก็เริ่มพูดได้และมีพัฒนาการคืบหน้าไปพอสมควร เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้รับการสนับสนุนและได้รับคำปรึกษาจากโรงเรียนประถมศึกษาให้มุ่งมั่นเดินหน้าต่อไป
ไม่ทราบว่าฟาร์มของเธอมีชื่อเสียงที่พอจะรู้จักมั้ยครับ
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1962 เทมเพิ่ลจึงได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนแฮมไชร์ คันทรี่(Hampshire Country School) ตั้งอยู่ที่เมืองริดจ์ รัฐนิว แฮมไชร์ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำสำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เธอได้ออกมาใช้ชีวิตตามลำพัง เนื่องจากเธอเป็นคนไม่ค่อยพูดจึงทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก กอปรกับวิธีคิดที่ไม่เหมือนใครจึงถูกคนรอบข้างมองเป็นตัวตลกและมักโดนกลั่นแกล้งเป็นประจำ
ในช่วงแรกที่เข้ามาเรียนใหม่ๆนั้น ทั้งครูและเพื่อนๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจความคิดเธอมากนัก แต่เธอก็ยังโชคดีมากที่ได้พบกับครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ซึ่งมองเห็นพรสวรรค์ที่อยู่ในตัวเธอ หนึ่งในพรสวรรค์ที่ถูกค้นพบคือ การเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีการบันทึกรายละเอียดข้อมูลต่างๆ เป็นมโนภาพอยู่ในสมอง แล้วจึงประมวลผลออกมาเป็นรูปธรรม
ครูคนดังกล่าวก็ได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับเธอ โดยพยายามแนะแนวให้เธอรู้จักวิเคราะห์หาที่มาที่ไปของเหตุผลต่างๆ ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร โดยอาศัยพรสวรรค์จากการจินตนาการของเธอค่อยๆสร้างสรรค์ผลงานทางวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์อย่างอิสระ จนเธอสามารถแสดงความสามารถออกมาให้เป็นที่ประจักษ์และเป็นที่ยอมรับของทุกคนในที่สุด
เทมเพิ่ลได้อธิบายว่า “ฉันคิดและจดจำข้อมูลต่างๆเป็นมโนภาพ ส่วนคำพูดนั้นคือ ภาษาที่สองของฉัน ฉันแปลงภาษาพูดและภาษาเขียน รวบรวมข้อมูลจนประมวลผลมาเป็นภาพยนตร์จอหลากสีที่มาพร้อมกับระบบเสียงอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งทำงานเหมือนวีดิโอเทปที่กำลังฉายภาพอยู่ในหัวของฉัน เมื่อใครพูดกับฉัน คำพูดของเขาจะถูกแปลงเป็นรูปภาพทันที สำหรับผู้ที่คิดอยู่บนพื้นฐานของภาษาปกติอาจพบว่า ปรากฏการณ์นี้มันยากที่จะเข้าใจ แต่สำหรับในงานประจำของฉันซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวกับการออกแบบอุปกรณ์เครื่องมือและระบบต่างๆสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมปศุสัตว์นั้น การคิดแบบเป็นมโนภาพถือได้ว่ามีประโยชน์อย่างมหาศาลเลยทีเดียว”
อีกหนึ่งในจุดเด่นของโรงเรียนแห่งนี้ก็คือ การมีสัตว์นานาชนิดให้นักเรียนได้เลี้ยงและศึกษาเรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพวกมัน เทมเพิ่ลได้ไปพบม้าตัวหนึ่งซึ่งอยู่ในโรงเก็บม้าโดยบังเอิญ มันได้รับบาดเจ็บและพักรักษาตัวอยู่เพียงลำพัง ซึ่งอยู่ในอาการหวาดระแวงและค่อนข้างดุจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
ในตอนนั้นเทมเพิ่ลยังไม่ค่อยรู้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับเจ้าม้าตัวนี้มากนัก แต่ด้วยความเป็นออทิสติกนี้เองทำให้เธอสามารถเข้าถึงจิตใจของม้าได้เป็นอย่างดี ผ่านการสื่อสารทางภาษากายและภาษาใจ ด้วยวิธีการใช้ใจแลกใจ ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว เรียนรู้จากการลูบไล้สัมผัสไปตามร่างกายม้า สังเกตจากแววตา ท่าทาง ใช้มือสัมผัสเพื่อจับจังหวะการเต้นและเสียงของหัวใจ และภาษากายของม้า จนม้าค่อยๆเริ่มเปิดใจยอมรับในตัวเธอ จากม้าที่ขี้โมโหกลับกลายมาเป็นม้าที่สงบลงในพริบตา เธอได้ลองขี่ม้าและศึกษาทุกอย่างที่มีคำว่า “ม้า” รวมอยู่ด้วย ทุกครั้งที่รู้สึกไม่สบายใจเธอมักจะหลบมาอยู่กับม้า มันทำให้เธอตื่นเต้นและมีความสุขมาก
แต่แล้ววันหนึ่งโชคชะตากลับเล่นตลกกับเธอ หลักจากที่ได้รู้จักกับเพื่อนสี่ขาได้ไม่นานนัก มันก็ได้ลาจากโลกใบนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนมา ม้านอนกองอยู่กับพื้นและถูกคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่ ในตอนนั้นเทมเพิ่ลยังไม่รู้เลยว่าม้าได้ตายไปแล้วและเธอยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “ตาย” เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเธอรู้ว่าจะไม่มีโอกาสได้อยู่กับม้าตัวนี้อีกต่อไป แต่ในใจเธอยังคงคิดถึงมันอยู่ตลอดเวลา ครูสอนวิทยาศาสตร์คนเดิมจึงแนะนำให้เธอใช้พรสวรรค์ทางการจดจำด้วยภาพโดยให้นึกถึงคำที่มีม้าเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย เพื่อที่เธอจะได้รู้สึกว่าม้าอยู่กับเธอเสมอ
อย่างไรก็ตามเทมเพิ่ลได้กล่าวว่าช่วงการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น – ตอนปลายนั้น เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเด็กที่ฉลาดและเรียนเก่ง แต่มักไม่ค่อยชอบเข้าสังคมเท่าไร จนถูกมองว่าเป็นเด็กเอ๋อ จึงถูกทุกคนรุมกลั่นแกล้ง
ในบางครั้งขณะที่เธอเดินไปตามท้องถนน ผู้คนทั่วไปก็จะพูดจาเยาะเย้ยถากถางเธอด้วยคำว่า “เครื่องอัดเทป” เพราะว่าเธอชอบทำสิ่งเดิมซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า เทมเพิ่ลบอกว่า “ฉันก็หัวเราะออกไปกับสิ่งที่เขาว่าฉัน แต่ภายในจิตใจมันสุดแสนที่จะเจ็บปวดจริงๆ”
จุดเปลี่ยนชีวิตของเทมเพิ่ลได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อหลังจากที่เธอสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนประจำ เธอได้มีโอกาสมาเที่ยวและพักผ่อนที่ฟาร์มปศุสัตว์ในชนบทของป้ากับลุง
ณ ที่แห่งนี้ เธอได้เริ่มเรียนรู้วิถีชีวิตของสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะม้าและวัว ด้วยการสังเกตทุกๆอากัปกิริยา สื่อสารผ่านภาษากายและใจ
เธอยังโชคดีที่มีป้าซึ่งเห็นพรสวรรค์ที่อยู่ในตัวเธอด้วยเช่นกัน มันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เธอกำลังตัดสินใจว่าจะเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยหรือไม่และจะเลือกเรียนสาขาไหนดี เพราะว่าใจหนึ่งเธอก็อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์เหมือนกับครูของเธอ อีกใจหนึ่งเธอก็อยากเรียนรู้วิถีชีวิตของสัตว์ให้มากขึ้น
แต่ในท้ายที่สุดเธอกลับมาหลงใหลชีวิตคาวบอยเลี้ยงวัวในฟาร์มของป้า คงมีคำถามตามมาว่า เพราะอะไรหรือ?
นั่นเพราะเธอมีสัญชาตญาณที่พิเศษในการเข้าใจธรรมชาติของสัตว์ซึ่งเป็นผลมาจากการเป็นออทิสติก ในการสัมผัสความรู้สึกนึกคิดของสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง
เวลาว่างเธอมักจะเข้าไปคุยเล่นอยู่กับม้าหรือไม่บางทีก็ไปนอนเล่นอยู่ในคอกวัวท่ามกลางฝูงวัวที่ต่างพากันค่อยๆเดินมามุงดูเธอใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนมองไม่เห็นตัวเธอเลย โดยที่ไม่แสดงอาการหวาดกลัวแต่อย่างใด
สิ่งแรกที่เธอสังเกตเห็นจากการช่วยลุงกับป้าทำงานฟาร์มก็คือ ความหวาดกลัวที่อยู่ภายในแววตาของวัวที่มีต่อซองบังคับ การถูกไล่ต้อนด้วยอุปกรณ์ต่างๆ และวิธีการจัดการที่ค่อนข้างจะอย่างรุนแรง ในขณะที่พวกมันกำลังเดินเรียงแถวเข้าซองและประตูหนีบคอเพื่อรอทำวัคซีน
เธอเล็งเห็นถึงอุปสรรคต่างๆที่อยู่ภายในซอง ซึ่งมีผลทำให้วัวเกิดความหวาดระแวง จนเกิดความเครียด และไม่ยอมเดินเข้าซองแต่โดยดี ส่งผลให้เหล่าคาวบอยต้องออกแรงไล่ต้อนด้วยความรุนแรง โดยที่ไม่ได้เข้าใจปัญหาที่แท้จริง สิ่งเหล่านี้คือแรงบันดาลใจที่ทำให้เธอมุ่งมั่นเข้าศึกษาต่อทางด้านสัตวศาสตร์อย่างจริงจัง
นี่..นี่..พ่อคาวบอยรูปหล่อครับ